วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เต่าดมแก๊ส อยากใส่บ่าวาล์วสเตนเลสได้ไหม

ขอสอบถามว่า มี VW BEETEL ปี 1959 ตาหวาน ต้องการจะติดแก๊สLPG อยากถามว่า จำเป็นต้องทำบ่าวาล์วใหม่เป็นสเตนเลสหรือเปล่า
            คำถามนี้จาก “เรืองริด” หรือ “ฟิลมอร์ ออแกนิกส์” เพื่อนรักฝ่ายอาร์ตที่ออฟฟิศ ผมเอง กับ “ตาเฉิ่ม” จากการถามไถ่กันตามประสบกาม เอ๊ย ประสบการณ์จริง เห็นคำถามนี้น่าสนใจดีเลยเอามาลง เผื่อแฟน ๆ VW อาจจะนำไปพิจารณาได้ สำหรับรถรุ่นเก่า ๆ พวกนี้บ่าวาล์ว
ยังไม่ค่อยจะแข็งแรงมากนัก ประการแรก สมัยนั้น เรื่องโลหะยังดีสู้สมัยนี้ไม่ได้ ประการที่สอง รถมีอายุมากกว่า 40 ปี อะไร ๆ ก็เสื่อมไปตามกาลเวลาแน่นอน นะมายเฟรนด์ คิดดูตามความจริง วาล์วกระแทกบ่าขึ้นลงไม่รู้กี่ล้านเที่ยว มันก็ย่อมมีการสึกเป็นธรรมดา...
            แล้วจะรู้ได้ไงว่าบ่าวาล์วสึกจนใช้ไม่ได้ อันดับแรก เครื่องเดินไม่ดี สั่น กระพือ ไม่มีแรง ความร้อนขึ้นแต่ VW ไม่มีหม้อน้ำ เพราะมันเป็น “แอร์คูล” ถ้ามีเกจ์ วัด Oil Temp ก็จะรู้ น้ำมันเครื่องจะร้อนขึ้นผิดปกติ ไปบ้าง ประกอบกับมีอาการ “จาม” แบบกำลังอัดรั่ว ถ้าวัดกำลังอัดแล้วต่ำผิดปกติด้วย ก็ต้องเปิดฝาสูบดูแล้วว่าเกิดจากอะไรกันแน่ ถ้าเกิดจากเรื่องบ่าวาล์ว ทรุดจริง ๆ ก็ต้องเสริมใหม่เป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะใช้เชื้อเพลิงใด ๆ ก็ตาม...
            ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ติดLPG ก็น่าจะมาจาก “ความร้อนในห้องเผาไหม้ที่เพิ่มขึ้น “ เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเบนซิน มันก็ไม่ได้มากมายอะไรจนน่ากลัวหรอก ไม่งั้นเครื่องคงระเบิดไปแล้ว พอความร้อนมากขึ้น วาล์วร้อน อะไรร้อนมาก ๆ ก็สึกหรอเร็วเป็นธรรมดา ยิ่งรถสมัยก่อนก็ไม่ได้ทำเผื่อบ่าวาล์วแข็งแรงมาก เพราะยังใช้ “น้มันมีสารตะกั่ว” (Leaded Fuel) คอยเคลือบบ่าวาล์วอยู่...
            แต่รถสมัยใหม่ ที่ใช้น้ำมัน “ไร้สารตะกั่ว” (Unleaded Fuel) ก็เลยต้องเผื่อมาจากโรงงาน ตอนนี้การจะ ติดLPG ให้ปลอดภัย  ผมว่า “อยู่ที่ส่วนผสมว่า ถูกต้องหรือไม่” ถ้าส่วนผสมผิด เกิดอาการ “ส่วนผสมบาง” (Lean Burn) ทำให้ความร้อนห้องเผาไหม้สูงผิดปกติ หรือ จังหวะจุดระเบิดผิด” (Miss Firing) ก็ทำให้ เกิดการจุดระเบิดที่ไม่สมบูรณ์ก็ทำให้เครื่องยนต์เสื่อม สภาพเร็ว แนะนำว่า ถ้าเครื่องไม่เป็นไร ก็ติด LPG ไปแล้วจูนให้ถูกต้อง ถ้าเครื่องเริ่มโทรม มีโครงการจะรื้อมาทำใหม่อยู่แล้ว ก็เปลี่ยนบ่าวาล์วไปทีเดียวเลย จะได้ไม่ต้องเสียค่าแรงสองทีตอนมันพัง แล้วค่อยมาติดแก๊สทีหลัง แต่ถ้าขี้เกียจ ก็ไม่ต้องติด ถ้าติดก็ต้องดูต้องสังเกตุ จ้า จะใช้งานก็ต้องดูแลกันหน่อย

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

น้ำมันเครื่องสำหรับรถใช้แก๊ส NGV

น้ำมันเครื่องสำหรับรถติด NGV ดีจริงไหม
หลายคนอาจสงสัยว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเราควรใช้น้ำมันเครื่องสำหรับแก๊ส NGV ดีไหม คำตอบมีที่นี่แล้ว
ตรงนี้เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนมาใช้แก๊สรถยนต์ จะไม่สามารถเติมสารเพิ่มคุณภาพเหมือนกับน้ำมันที่เป็นของเหลวได้ อีกทั้งยังมีสภาพแห้ง และจุดที่เครื่องยนต์จะเสื่อมสภาพเร็วที่สุด ก็ในช่วงที่เริ่มสตาร์ท น้ำมันเครื่องยังไม่ขึ้นมาหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ใช้แก๊สจึงมีความเสี่ยงมากกว่าอุณหภูมิก๊าซไอเสีย
            เครื่องยนต์ที่ติดตั้งแก๊สเป็นเชื้อเพลิงจะมีอุณหภูมิของก๊าซไอ้เสียสูงกว่าเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลมาก ซึ่งเครื่องยนต์ ดีเซลจะมีอุณหภูมิของก๊าซไอเสียอยู่ที่ประมาณ 600 องศาเซลเซียส เครื่องยนต์เบนซินประมาณ 700 องศาเซลเซียส ส่วนเครื่องยนต์แก๊สจะสูงกว่า 800 องศาเซลเซียส ทำให้น้ำมันเครื่องปกติที่ใช้มีอายุสั้น  เนื่องจากอุณหภูมิที่สูง เกิดออกซิเดชั่น และไนเตรชั่นสูง โดยหลักจึงพยายามผลิตน้ำมันเครื่องที่ทนอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งมีผลกับอายุของน้ำมันเครื่องที่ยาวขึ้นนั่นเอง ผลสรุปคือ หากรถเราติดแก๊ส เราควรใช้น้ำมันเครื่องสำหรับ การใช้แก๊สเพื่อให้สามารถทนกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ และจะให้ดีควรเปลี่ยนให้บ่อยกว่าเดิม

ติดแก๊สแล้ว “วาล์วแห้ง” หรือเปล่า???

รบกวนพี่ ๆ ทีมงานหน่อยครับ คือ ผมได้ยินมาว่า รถที่ติดแก๊สจะทำให้ “วาล์วแห้ง” จริงหรือเปล่า แล้วถ้าจริง มันมีผลอะไรต่อเครื่องยนต์บ้าง ขอบคุณนะครับ...

เอ้า ขอมาก็จัดไป โดยปกติแก๊สรถยนต์ หรือก๊าซจะไม่เหมือนน้ำมันที่อยู่ในสภาวะ “ของเหลว” เวลาน้ำมันถูกจ่าย ก็จะวิ่งไปโดนวาล์ว ของเหลวก็จะช่วยลดความร้อนลงได้ บางส่วน ซึ่งการใช้แก๊ส จะทำให้ห้องเผาไหม้ร้อนกว่าน้ำมันอยู่บ้าง เน้นว่า “อยู่บ้าง” ไม่ใช่โหดร้ายขนาดหนัก แต่ส่วนใหญ่ที่เจอพวกติดแก๊สแล้ว “พังง่าย” คงโทษที่แก๊สไม่ได้เพียงอย่างเดียว สาเหตุหลักของเคสนี้ก็คือ “ปรับส่วนผสมของแก๊สและจังหวะจุดระเบียดไม่ถูกต้อง” ที่เจอบ่อยคือ “แก๊สบาง” อาจจะเป็นเพราะจูนไม่เป็น หรือเน้นความประหยัดสุด ๆ แบบที่ TAXI นิยมกัน ก็ทำให้ห้องเผาไหม้ร้อนกว่าปกติ บ่าวาล์วก็ร้อนจัด ตัววาล์วก็ร้อนจัด ไม่ต้องแก๊สหรอกครับ ต่อให้น้ำมันนี่แหละ แต่จูนผิด มันก็ไม่เหลือ โดยเฉพาะพวกรถที่มีอาการ “จาม” หรือ “แบ็ก” แรงระเบิดย้อนออกทางไอดีบ่อย ๆ แสดงว่าส่วนผสมและไฟจุดระเบิดผิดอย่างแรง สรุปแล้ว “บรรลัยไว” แน่นอน...
            ส่วนใหญ่แล้ว การจูนแก๊สที่ผิดพลาด และ มีการเสียหายหรือสึกหรอเร็วผิดปกติ มักจะเจอกับระบบแก๊สยุคเก่า คือ แบบ Mixer ที่ไม่มีอะไรเป็นตัวช่วยเหลือหรือชดเชยใด ๆทั้งสิ้น มันก็มี Ventury อยู่ตัวนึง เป็นทรงกรวย มีรูจ่ายแก๊ส กลึงกันหยาบ โคตร ๆ มีแค่นี้จริง ๆ คาร์บูเรเตอร์ทั่วไปว่าธรรมดาแล้ว ยังมีอุปกรณ์มากกว่าตั้งเยอะ พวกนี้เป็นการจูนอัพแบบ “หยาบที่สุด” ปรับวาล์วกลางสาย ลองเร่ง ๆ ดู เบาไม่ดับ เร่งพอได้ก็เอาแล้ว มันจึงมี “ค่าส่วนผสมที่ไม่แน่นอน” เอาเสียเลย บางไป หนาไป ไม่รู้ เอาความรู้สึก วิ่งไปได้ ดีไม่ดีก็เรื่องของเอ็ง มันถึงไม่มีความเสถียร โอกาสที่ส่วนผสม “ผิดพลาด” จนทำให้เครื่องสึกหรอและเสียหายเร็วก็มีเยอะ แถมอัตตาสิ้นเปลืองก็สูง จูนยังก็ไม่เสถียรปัจจุบันจึงไม่นิยมใช้กันแล้ว...
            ปัจจุบันจึงมีแก๊สระบบ “หัวฉีด” เข้ามาแต่   ฉีดเบนซิน”  มีกล่อง ECU ส่วน Sensor ต่าง ๆ ก็ใช้ของเดิมติดรถ ข้อมูลกล่องแก๊ส มันก็  Learning หรือ “ลอกการบ้าน” จากข้อมูลกล่อง ECU เดิม มันจึงได้ค่าที่ “ใกล้เคียง” ที่สุด แล้วก็มาปรับเอาโดน “จูนเนอร์” (ชื่อโคตรเท่เลย) ถ้าจูนแก๊สได้ส่วนผสมที่ “ถูกต้องไม่มีอาการจามหรือแบ็ก ส่วนผสมไม่หนาหรือบางเกินไป จะทำให้เครื่องมีความทนทน อย่างน้อยก็ดีกว่าส่วนผสมมั่ว ๆ แบบสมัยก่อนเยอะครับ...
            ถ้าถามถึงความ “ทนทาน” สังเกตได้ว่า รถยุคปัจจุบันแม้ติดแก๊สมาหลายปี วิ่งไปเป็นแสนกม. บางคันยังสบายดีอยู่ ยอมรับครับ ว่าถ้าใช้งานเงื่อนไขเดียวกัน “น้ำมันจะทนทานกว่า” แต่แก๊สก็ “ไม่ได้ทำให้พังในทันที”  อายุการใช้งานอาจจะสั้นลงไปบ้าง แต่ไม่ถึงกับหายไปเกินครึ่ง ถ้าลองคิดค่าซ่อมกับค่าส่วนต่างระหว่างแก๊สกับน้ำมันดูแล้ว ก็อาจจะคุ้มก็ได้ ยกตัวอย่าง สมมติ “น้าเสี้ยม ริมหาด” ใช้รถไปทำงาน เดินทางไปต่างจังหวัด วันละ 100 กม. ถ้าใช้น้ำมันเบนซิน คิดง่าย ๆ ลิตรละ 40 บาท รถมีอัตราสิ้นเปลือง 10 กม./ลิตร เท่ากับค่าใช้จ่าย “กม.ละ 4 บาท เติมน้ำมันวันละ 400 บาท แต่ถ้าติดแก๊ส LPG ลิตรละ 13 บาท หายไป “สามเท่า” ก็เท่ากับเติมแก๊สวันละ 100 กว่าบาท เท่านั้น (คิดเผื่อหน่อย เพราะอัตราสิ้นเปลืองของแก๊สจะมากกว่าน้ำมัน) ไอ้ส่วนต่างถ้าคิดเป็น “ต่อปี” ก็ “หลายหมื่น” เหมือนกันนะ ยี่งใช้รถเยอะ ๆ ประเภทเคยใช้น้ำมันเดือนละหมื่นกว่าบาท ต่อปี เผลอ ๆ ประหยัด “เป็นแสน” เอาเงินส่วนต่างไปรอซ่อมเครื่องก็ยังคุ้ม ยิ่งใช้ยาวก็ยิ่งคุ้ม มันคงไม่ปีเดียวพังหรอกครับ..
            แต่ถ้า “วิตก” อยู่ในใจ ก็ลองสลับมาใช้น้ำมันบ้างก็ได้ครับ อย่างเวลาจะจอด บางคนก็เปลี่ยนกลับมาใช้น้ำมันก่อนจะดับเครื่อง หรือตอนวิ่งทางไกล ก็สลับมาใช้น้ำมันบ้าง เพื่อให้น้ำมันลดความร้อนที่วาล์ว อันนี้มันอยู่ที่ “ความรู้สึกส่วนตัว” นะครับ จะทำหรือไม่ทำก็ได้ แล้วแต่ใจท่านหรือบางคนก็ติดตั้งถังเติม “ออโต้ลูบ” ที่ใช้กับ “แมงกะบื่อ” สองจังหวะ เพื่อเอาละลองออโต้ลูบไปหล่อลื่นวาล์ว แต่ต้องระวังนะครับ ถ้าปล่อยเข้ามากไป “ควันกลบ” แน่นอน มันจะกลายเป็นเขม่า ทำให้เผาไหม้แย่ มลพิษมาก ห้องเผาไหม้และหัวเทียนสกปรก จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ (ส่วนตัวผมเอาออกเลยนะครับ) แล้วก็ “หัวเทียน” ด้วย ควรเปลี่ยนเบอร์หัวเทียนที่ “เย็นลง” เช่น ของเดิมเบอร์ 5 ก็ใช้เบอร์ 6 หัวเทียนดี ๆ หน่อย จะได้ระบายความ
คิดว่าวันนี้ตอบแค่นี้พอก่อนให้ลองไปคิดกันดูอีกที  ติดแก๊ส หรือไม่อย่างไร