วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ติดแก๊สแล้ว “วาล์วแห้ง” หรือเปล่า???

รบกวนพี่ ๆ ทีมงานหน่อยครับ คือ ผมได้ยินมาว่า รถที่ติดแก๊สจะทำให้ “วาล์วแห้ง” จริงหรือเปล่า แล้วถ้าจริง มันมีผลอะไรต่อเครื่องยนต์บ้าง ขอบคุณนะครับ...

เอ้า ขอมาก็จัดไป โดยปกติแก๊สรถยนต์ หรือก๊าซจะไม่เหมือนน้ำมันที่อยู่ในสภาวะ “ของเหลว” เวลาน้ำมันถูกจ่าย ก็จะวิ่งไปโดนวาล์ว ของเหลวก็จะช่วยลดความร้อนลงได้ บางส่วน ซึ่งการใช้แก๊ส จะทำให้ห้องเผาไหม้ร้อนกว่าน้ำมันอยู่บ้าง เน้นว่า “อยู่บ้าง” ไม่ใช่โหดร้ายขนาดหนัก แต่ส่วนใหญ่ที่เจอพวกติดแก๊สแล้ว “พังง่าย” คงโทษที่แก๊สไม่ได้เพียงอย่างเดียว สาเหตุหลักของเคสนี้ก็คือ “ปรับส่วนผสมของแก๊สและจังหวะจุดระเบียดไม่ถูกต้อง” ที่เจอบ่อยคือ “แก๊สบาง” อาจจะเป็นเพราะจูนไม่เป็น หรือเน้นความประหยัดสุด ๆ แบบที่ TAXI นิยมกัน ก็ทำให้ห้องเผาไหม้ร้อนกว่าปกติ บ่าวาล์วก็ร้อนจัด ตัววาล์วก็ร้อนจัด ไม่ต้องแก๊สหรอกครับ ต่อให้น้ำมันนี่แหละ แต่จูนผิด มันก็ไม่เหลือ โดยเฉพาะพวกรถที่มีอาการ “จาม” หรือ “แบ็ก” แรงระเบิดย้อนออกทางไอดีบ่อย ๆ แสดงว่าส่วนผสมและไฟจุดระเบิดผิดอย่างแรง สรุปแล้ว “บรรลัยไว” แน่นอน...
            ส่วนใหญ่แล้ว การจูนแก๊สที่ผิดพลาด และ มีการเสียหายหรือสึกหรอเร็วผิดปกติ มักจะเจอกับระบบแก๊สยุคเก่า คือ แบบ Mixer ที่ไม่มีอะไรเป็นตัวช่วยเหลือหรือชดเชยใด ๆทั้งสิ้น มันก็มี Ventury อยู่ตัวนึง เป็นทรงกรวย มีรูจ่ายแก๊ส กลึงกันหยาบ โคตร ๆ มีแค่นี้จริง ๆ คาร์บูเรเตอร์ทั่วไปว่าธรรมดาแล้ว ยังมีอุปกรณ์มากกว่าตั้งเยอะ พวกนี้เป็นการจูนอัพแบบ “หยาบที่สุด” ปรับวาล์วกลางสาย ลองเร่ง ๆ ดู เบาไม่ดับ เร่งพอได้ก็เอาแล้ว มันจึงมี “ค่าส่วนผสมที่ไม่แน่นอน” เอาเสียเลย บางไป หนาไป ไม่รู้ เอาความรู้สึก วิ่งไปได้ ดีไม่ดีก็เรื่องของเอ็ง มันถึงไม่มีความเสถียร โอกาสที่ส่วนผสม “ผิดพลาด” จนทำให้เครื่องสึกหรอและเสียหายเร็วก็มีเยอะ แถมอัตตาสิ้นเปลืองก็สูง จูนยังก็ไม่เสถียรปัจจุบันจึงไม่นิยมใช้กันแล้ว...
            ปัจจุบันจึงมีแก๊สระบบ “หัวฉีด” เข้ามาแต่   ฉีดเบนซิน”  มีกล่อง ECU ส่วน Sensor ต่าง ๆ ก็ใช้ของเดิมติดรถ ข้อมูลกล่องแก๊ส มันก็  Learning หรือ “ลอกการบ้าน” จากข้อมูลกล่อง ECU เดิม มันจึงได้ค่าที่ “ใกล้เคียง” ที่สุด แล้วก็มาปรับเอาโดน “จูนเนอร์” (ชื่อโคตรเท่เลย) ถ้าจูนแก๊สได้ส่วนผสมที่ “ถูกต้องไม่มีอาการจามหรือแบ็ก ส่วนผสมไม่หนาหรือบางเกินไป จะทำให้เครื่องมีความทนทน อย่างน้อยก็ดีกว่าส่วนผสมมั่ว ๆ แบบสมัยก่อนเยอะครับ...
            ถ้าถามถึงความ “ทนทาน” สังเกตได้ว่า รถยุคปัจจุบันแม้ติดแก๊สมาหลายปี วิ่งไปเป็นแสนกม. บางคันยังสบายดีอยู่ ยอมรับครับ ว่าถ้าใช้งานเงื่อนไขเดียวกัน “น้ำมันจะทนทานกว่า” แต่แก๊สก็ “ไม่ได้ทำให้พังในทันที”  อายุการใช้งานอาจจะสั้นลงไปบ้าง แต่ไม่ถึงกับหายไปเกินครึ่ง ถ้าลองคิดค่าซ่อมกับค่าส่วนต่างระหว่างแก๊สกับน้ำมันดูแล้ว ก็อาจจะคุ้มก็ได้ ยกตัวอย่าง สมมติ “น้าเสี้ยม ริมหาด” ใช้รถไปทำงาน เดินทางไปต่างจังหวัด วันละ 100 กม. ถ้าใช้น้ำมันเบนซิน คิดง่าย ๆ ลิตรละ 40 บาท รถมีอัตราสิ้นเปลือง 10 กม./ลิตร เท่ากับค่าใช้จ่าย “กม.ละ 4 บาท เติมน้ำมันวันละ 400 บาท แต่ถ้าติดแก๊ส LPG ลิตรละ 13 บาท หายไป “สามเท่า” ก็เท่ากับเติมแก๊สวันละ 100 กว่าบาท เท่านั้น (คิดเผื่อหน่อย เพราะอัตราสิ้นเปลืองของแก๊สจะมากกว่าน้ำมัน) ไอ้ส่วนต่างถ้าคิดเป็น “ต่อปี” ก็ “หลายหมื่น” เหมือนกันนะ ยี่งใช้รถเยอะ ๆ ประเภทเคยใช้น้ำมันเดือนละหมื่นกว่าบาท ต่อปี เผลอ ๆ ประหยัด “เป็นแสน” เอาเงินส่วนต่างไปรอซ่อมเครื่องก็ยังคุ้ม ยิ่งใช้ยาวก็ยิ่งคุ้ม มันคงไม่ปีเดียวพังหรอกครับ..
            แต่ถ้า “วิตก” อยู่ในใจ ก็ลองสลับมาใช้น้ำมันบ้างก็ได้ครับ อย่างเวลาจะจอด บางคนก็เปลี่ยนกลับมาใช้น้ำมันก่อนจะดับเครื่อง หรือตอนวิ่งทางไกล ก็สลับมาใช้น้ำมันบ้าง เพื่อให้น้ำมันลดความร้อนที่วาล์ว อันนี้มันอยู่ที่ “ความรู้สึกส่วนตัว” นะครับ จะทำหรือไม่ทำก็ได้ แล้วแต่ใจท่านหรือบางคนก็ติดตั้งถังเติม “ออโต้ลูบ” ที่ใช้กับ “แมงกะบื่อ” สองจังหวะ เพื่อเอาละลองออโต้ลูบไปหล่อลื่นวาล์ว แต่ต้องระวังนะครับ ถ้าปล่อยเข้ามากไป “ควันกลบ” แน่นอน มันจะกลายเป็นเขม่า ทำให้เผาไหม้แย่ มลพิษมาก ห้องเผาไหม้และหัวเทียนสกปรก จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ (ส่วนตัวผมเอาออกเลยนะครับ) แล้วก็ “หัวเทียน” ด้วย ควรเปลี่ยนเบอร์หัวเทียนที่ “เย็นลง” เช่น ของเดิมเบอร์ 5 ก็ใช้เบอร์ 6 หัวเทียนดี ๆ หน่อย จะได้ระบายความ
คิดว่าวันนี้ตอบแค่นี้พอก่อนให้ลองไปคิดกันดูอีกที  ติดแก๊ส หรือไม่อย่างไร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น